ปฎิทินG12

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อุตุฯยกเครื่องเตือนภัยใช้“แถบสี”

                                               

   
    วันที่ 29 ส.ค. ที่กรมอุตุนิยมวิทยา  นายสมชาย ใบม่วง รองอธิบดีฯ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานการจัดทำมาตรฐานการเตือนภัยพิบัติเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เปิดเผยว่า กรมอุตุฯจะนำมาตรฐานการเตือนภัยโดยใช้แผนที่และแถบสีแสดงความรุนแรงของภัยทั้งเรื่องฝน พายุ ภัยแล้ง และคลื่นลมในทะเลมาใช้เตือนภัยเพิ่มเติม จากเดิมที่ใช้ประกาศเป็นคำพูดอย่างเดียวมานาน 70 ปี โดยจะกำหนดเป็น 4 แถบสี คือ สีเขียว คือ มีความปลอดภัย สีเหลือง คือ ให้เฝ้าระวังเตรียมตัว สีส้ม คือ ให้ระวังมีภัย และสีแดง คือ ภัยมีความรุนแรงมาก

    การปรับเปลี่ยนมาใช้แถบสีเตือนภัย เนื่องจากหากใช้ประกาศเป็นคำพูดอย่างเดียวมีประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจ จึงได้เพิ่มการเตือนภัยโดยใช้แถบสีและสัญลักษณ์ เพื่อให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่การใช้ประกาศคำพูดก็ยังมีเหมือนเดิม  เช่น การเตือนภัยเรื่องฝนจะวัดปริมาณฝนในช่วง 24 ชั่วโมง หากมีฝนตกปริมาณ 90.1-150 มิลลิเมตร จะเป็นเตือนเป็นแถบสีส้มให้ประชาชนระวังภัยเป็นพิเศษ หากปริมาณฝนมากว่า 150 มิลลิเมตร จะเตือนโดยใช้แถบสีแดง คือมีความรุนแรงมาก  ส่วนจะมีการประกาศอพยพหนีภัยหรือไม่จะเป็นหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำข้อมูลของกรมฯไปวิเคราะห์ประมวลผลถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

      นายสมชาย กล่าวต่อว่า มาตรฐานเตือนภัยโดยใช้แถบสีมีการใช้กันในทวีปยุโรป ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก แนวคิดนี้ทางกรมฯและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้นำเรียน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว แต่การนำมาใช้ขณะนี้อยู่ขั้นตอนการจัดประชาพิจารณ์ รวมถึงการให้ความรู้เรื่องหลักเกณฑ์แก่เจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัติการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรธรณี ฯลฯ เพื่อให้การเตือนภัยเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำมาทดลองใช้เตือนภัยแบบหลายวันแล้วผ่านเว็บไซต์ www.tmd.go.th คาดว่าจะสามารถนำมาใช้จริงได้ในปลายเดือนเม.ย.หรือในช่วงต้นฤดูฝนของปีหน้า





ปภ.จี้ทุกจังหวัดคุมเข้มวันสารทจีน

                                        

    วันที่ 29 ส.ค. นายวิบูลย์  สงวนพงศ์  อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า เทศกาลสารทจีนปีนี้ตรงกับช่วงวันที่ 30 – 31 ส.ค.  ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติจะมีการประกอบพิธีกรรม ด้วยการจุดธูปเทียน เผากระดาษเงิน กระดาษทอง และการจุดประทัด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยและอุบัติเหตุจากการจราจรมากกว่าช่วงปกติ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติภัยในช่วงเทศกาลดังกล่าว ปภ.ได้ประสานทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยเน้นการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และประสานหน่วยงานด้านสาธารณสุขเตรียมการรองรับการช่วยเหลือและลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งสถานพยาบาลอย่างรวดเร็ว และทันท่วงที พร้อมทั้งกำชับให้เข้มงวดมาตรการป้องกันและระงับอัคคีภัย ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังในการประกอบพิธีกรรมเป็นพิเศษ ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจตราพื้นที่ชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยโดยง่าย  นอกจากนี้ยังได้กำชับให้จังหวัดคุมเข้มการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยจัดตั้งจุดตรวจบริเวณเส้นทางเสี่ยงอุบัติเหตุ  เพื่อกวดขันให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎจราจรอย่างเข้มงวด  ทั้งนี้ หากประชาชนประสบอุบัติภัยในช่วงเทศกาลสารทจีน สามารถติดต่อแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง ปภ.จะได้ประสานให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป
 



ผวาเสือโคร่งเขาใหญ่อาละวาด

                                                

   วันที่ 29 ส.ค. นายมานิตย์ มาทวิมล อายุ 67ปี อยู่บ้านเลขที่ 119/1 หมู่ 2 ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมามีเสือโคร่งตัวใหญ่เดินมาที่บริเวณหน้าห้องน้ำที่อยู่ระหว่างการสร้างและทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นปูนซีเมนต์พร้อมกับพาไปดูรอยเท้าลักษณะคล้ายรอยเท้าเสือโคร่งขนาดใหญ่บนพื้นปูนห้องน้ำเป็นจำนวนมาก
นายมานิตย์ กล่าวด้วยว่า บ้านของตนปลูกอยู่ติดกับเขาสวนหงส์เขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่วนรอยเท้าที่พบเชื่อว่าเป็นรอยเท้าของเสือโคร่งอย่างแน่นอน เนื่องจากในช่วงบ่ายวานนี้ มีชาวบ้านเดินขึ้นไปหาของป่าบนเขาอยู่ติดกับบ้านของตนและบังเอิพบเสือโคร่งตัวใหญ่บนเทือกเขา นอกจากนี้มีชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์ขนาดใหญ่ร้องคำราม จึงเดินตามเสียงไปและพบเสือโคร่งขนาดลำตัวยาวประมาณสัก 2 เมตรเดินวนเวียนอยู่บนเทือกเขาสวนหงส์  และรู้สึกหวาดกลัว รีบเดินลงจากเขาทันที
ขณะที่ชาวบ้านที่พบเห็นและชาวบ้านใกล้เคียง ขอฝากผ่านสื่อมวลชนให้ประสานหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบหรือส่งผู้เชียวชาญมาจับเสือโคร่งตัวดังกล่าว เพื่อความปลอดภัย.



วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เผยภาพแรก จากยานคิวริออสซิที ของนาซา หลังเดินทางถึงดาวอังคาร

Curiosity
ยานของนาซา ถึงดาวอังคารแล้ว เตรียมส่งข้อมูลสิ่งมีชีวิตมายังโลก
Mthainews: เว็บไซต์ข่าวเทเลกราฟของอังกฤษรายงานว่า ยานคิวริออสซิที(Curiosity) ยานภารกิจสำรวจดาวอังคารขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือ นาซา เตรียมลงจอดพื้นผิวดาวอังคาร และส่งสัญญาณกลับมายังโลกในวันนี้ (6ส.ค.) โดยยานดังกล่าว จะทำการสำรวจดาวอังคารว่า มีสภาพภูมิประเทศเป็นเช่นไร และภูมิอากาศบนดาวอังคารเอื้อต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่ และกุญแจสำคัญของยานนี้จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่า หากบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ก็เป็นความหวังให้มนุษย์เดินทางไปสำรวจดาวอังคาร มากขึ้น รวมไปถึงตั้งรกรากในอนาคต
ทั้งนี้ ยานคิวริออสซิที มีมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 80,000 ล้านบาท ปล่อยเดินทางสู่อวกาศเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา โดยนาซาเตรียมถ่ายทอดภาพประวัติศาสตร์การสัมผัสพื้นผิวดาวอังคารครั้งประวัติศาสตร์ผ่านจอขนาดใหญ่ ใจกลางจัตุรัสไทม์ส สแควร์ ในนครนิวยอร์ก แต่ภาพดังกล่าวจะต้องส่งภาพสดไปยังห้องควบคุมของนาซาเสียก่อน แล้วส่งภาพการลงจอดกลับไปถ่ายทอดบนจอโทรทัศน์
ดาวอังคาร จึงเป็นหนึ่งเป้าหมายของมวลมนุษย์ที่เตรียมสำรวจ ตั้งรกราก ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท มาร์ วัน  ก็สร้างความฮือฮาด้วยการ เปิดขายตั๋วเดินทางไป (อย่างเดียว) เพื่อตั้งรกรากที่ดาวอังคารในอีก 11 ปีข้างหน้า โดยจะมีการส่งนักบินอวกาศจำนวน 4 คนไปบุกเบิก แล้วทยอยส่งไปเรื่อยๆครั้งละ 4 คนในทุกๆ 2 ปี  และจะส่งดาวเทียมสื่อสาร และแคปซูลที่พักไปยังอวกาศในปี 2559  จากนั้นอีก 2 ปีจะมีการส่งยานอวกาศไปที่ดาวอังคารเพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งรกราก พักอาศัย เริ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีการสื่อสารขึ้นไปในดาวอังคาร
…………………………………………………………………………..
เผยภาพแรกดาวอังคาร จากยาน คิวริออสซิที
ล่าสุดสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็นเผยแพร่ภาพแรกของยานสำรวจที่จะเห็นเงาของยานกระทบกับพื้นผิวของดาวอังคาร เป็นภาพประวัติศาสตร์ และถือเป็นความสำเร็จขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ

ภาพล้อของยานจากยานคิวริออซิตี ที่จอดบนพื้นผิวดาวอังคาร (เอเอฟพี/นาซาทีวี)

มหัศจรรย์หนึ่งเดียวในโลก ใบไม้สีทอง' ของดีนราธิวาส







มหัศจรรย์หนึ่งเดียวในโลก ใบไม้สีทอง' ของดีนราธิวาส ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia aureifolia K.&S.S.Larsen   ชื่ออื่น : ใบไม้สีทอง , เถาใบสีทอง, ย่านดาโอ๊ะ
ใบไม้สีทองมีชื่อท้องถิ่นอีกชื่อหนึ่งว่า ย่านดาโอ๊ะ เป็นพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลกมีชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Bauhinia aureifalia ตั้งชื่อโดยศาสตราจารย์ ไคลาร์เสน (Dr.of Kai Lascrn) นักพฤษาศาสตร์ชาวเดนมาร์ค เมื่อ ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) โดยตั้งชื่อตามสีของใบ (Chryso-สีทอง, Phyllun-ใบ)


ใบไม้สีทอง ไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีมือเกาะม้วนงอ เลื้อยขึ้นไปคลุมตามเรือนยอดของต้นไม้ใหญ่ ใบเดี่ยว  เรียงเวียนสลับ รูปเกือบกลม ปลายใบหยักเว้าเป็นแฉกลึก 2 แฉก โคนใบเว้าหยักคล้ายรูปหัวใจ รูปร่างคล้ายกับใบกาหลงหรือชงโค แต่ขนาดใหญ่กว่ามากใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง หรือขนสีทองแดงเป็นมันคล้ายเส้นไหมปกคลุมหนาแน่น ลักษณะเหมือนกำมะหยี่ เริ่มแรกใบจะเป็นสีนาค คล้ายสีชมพู เมื่อผ่านไปสัก 2 สัปดาห์ จะกลายเป็นสีน้ำตาล และเข้มขึ้นเรื่อยๆ  จนประมาณ 3 เดือน จะกลายเป็นสีทอง และอีก 6 - 7 เดือนต่อจากนั้น จากสีทองจะกลายเป็นสีเงิน ใบที่สมบูรณ์เต็มที่มีขนาด 10x18 ซม. แต่เคยพบใหญ่ที่สุดกว่า 25 ซม. นอกจากนี้ ใบไม้สีทอง ถือเป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ เส้นรอบวงของเถาวัลย์ประมาณ 100 ซ.ม. เลื้อยพันธุ์ต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงถึง 30 เมตร
ดอกมีกลิ่นหอม ออกบนช่อแตกแขนงสั้นๆ ตามปลายกิ่ง กลีบดอก ๕ กลีบ รูปใบพาย สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีนวล ผลเป็นฝักแบนยาวคล้ายดาบ เมื่อแก่จะแตกออกมี ๖-๘ เมล็ด ออกดอกชุกระหว่างเดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์
เขตกระจายพันธุ์และถิ่นกำเนิด : พบเฉพาะในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา ขึ้นตามที่โล่งริมลำธารในป่าดิบชื้น อุทยานแห่งชาติน้ำตกบาโจ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ระดับความสูง ๕๐-๒๐๐ เมตร ออกดอกและผลเดือน สิงหาคม - ธันวาคม
สถานภาพ : พืชถิ่นเดียวและพืชหายากในสภาพธรรมชาติ ปัจจุบันนำมาขยายพันธุ์และปลูกเป็นไม้ประดับกันบ้าง แต่ยังไม่แพร่หลาย
การนำใบไม้สีทองมาเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก
การหาวัตถุดิบ จะต้อง ผ่านการอนุญาตจากวนอุทยานฯ เนื่องจากใบไม้สีทอง อยู่ในป่าลึกคนที่จะเข้าไปเก็บต้องเป็นผู้ชำนาญทาง โดยปีหนึ่งจะเก็บได้แค่ 2 ช่วง คือ เดือนมีนาคม และกันยายน เท่านั้น ใบที่เก็บมา เฉลี่ยจาก 100 ใบ จะมีใบสมบูรณ์สามารถนำมาจำหน่ายได้ประมาณ 20ใบเท่านั้น "หัวใจสำคัญ อยู่ที่ความรู้ในการเก็บ ต้องเริ่มจากการเก็บใบไม้สดมา แล้วมาทำให้แห้งตามธรรมชาติ ด้วยการใส่ลงในถุงคอยจนแห้ง ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 4 เดือนถึง 5 เดือน และนำมาอัดรีดให้เรียบ โดยต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน ก่อนที่นำมาใส่ซองบรรจุภัณฑ์ หรือนำมาใส่กรอบรูป ขายเป็นของแต่งบ้าน หลายคนที่ซื้อเพราะเห็นว่าเป็นใบไม้มงคล โดยเฉพาะในช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีน จะขายใบไม้สีทองได้จำนวนมาก"
ความแปลกของต้นใบไม้สีทอง ใน 1 ต้น  จะมีการเปลี่ยนของสีใบถึง 3 สี คือ สีนาค สีเงิน และสีทอง (ฤดูร้อน, ฤดูฝนจะมีสีทอง และฤดูหนาวจะมีสีเงิน ) ใน 1 ต้น จะมีใบสีนาคเพียง 1 ใบเท่านั้น  ทำให้ต้นใบไม้สีทองกลายเป็นใบไม้มงคลตามความเชื่อ ที่หลายคนอยากที่มีไว้ภายในบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล
ข้อมูลเพิ่มเติม: สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสร็จทรงงานที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีชาวบ้านนำใบไม้ดังกล่าวมาถวาย พระองค์จึงได้ประทานชื่อต้นไม้ดังกล่าว ตามแหล่งที่พบคือ “ย่านดาโอ๊ะ” และเรียกมาจนถึงปัจจุบัน โดยรับสั่งให้มีการรณรงค์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ดังกล่าวนับแต่นั้นมา